พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์

ข่าวสารเกี่ยวกับผู้ใช้รถยนต์ที่ทางลูกค้าต้องรับเกี่ยวกับ ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ที่พวกเราทราบกันเป็นอย่างดี และเรียกกันอย่างติดปากว่า “ พ.ร.บ.” หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถซึ่ง ทุกๆท่านนำไปต่อภาษี เสียภาษีรถยนต์ประกันทุกๆปี นั่นเอง ซึ่งเป็นประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ ซึ่งเวลาพูดถึงประกันรถ คนทั่วไปมักจะนึกถึง ประกันชั้น1, ประกันชั้น2, ประกันชั้น3 กันซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประกันชั้น1, ชั้น2, ชั้น3 นั้น รวมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าประกันภาคสมัครใจ แต่ พ.ร.บ. นั้น ถือเป็นประกันรถยนต์ภาคบังคับ มีอัตราเบี้ยเท่าเดิมทุกๆปี ซึ่งทางกฎหมายบังคับให้รถทุกๆคันต้องทำและต้องมี ซึ่งประกันรถยนต์ภาคบังคับนี้นั้นมีความสำคัญมากๆ นอกเหนือไปจากการนำไปต่อภาษี คือ เพื่อให้ความคุ้มครองกับบุคคลผู้ประสบภัยหรือประสบอุบัติเหตุจากรถ ให้มีค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายวันต่างๆ โดยไม่ต้องดูว่าผู้ที่ประสบเหตุนั้นจะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักประกันอย่างหนึ่งของสังคม ช่วยบรรเทาความเสียหายกับผู้เสียหายกรณีได้รับบาดเจ็บและผู้ที่กระทำความเสียหายที่เป็นฝ่ายผิดทั้ง 2 ฝั่ง โดยที่ไม่ต้องดูเลยว่าฝ่ายไหนผิด ฝ่ายไหนถูก อันถือเป็นหน้าที่ที่ต้องพึงปฏิบัติสำหรับผู้ใช้รถทุกๆคน ซึ่งจะมีรถบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องต่อ พ.ร.บ. ซึ่งรถดังกล่าวในบทความนี้จะไม่ขอพูดถึง แต่จะขอกล่าวถึงรถทั่วๆไปก่อน

โดย พ.ร.บ.ทุกที่หรือทุกๆบริษัท ให้ความคุ้มครองเหมือนๆกันทุกที่ภายใต้กฎหมายเล่มเดียวกันเหมือนกันหมด ซึ่งล่าสุดทางกรมการประกันภัย หรือ คปภ. ได้ประกาศให้มีการเพิ่มเติมในส่วนของความคุ้มครอง โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งทางเราจะขอแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมความคุ้มครองต่างๆเพิ่มเติมเพื่อเป็นเกร็ดความรู้ให้กับทุกๆท่านที่ได้ผ่านเข้ามาอ่านนี้ ดังต่อไปนี้

  • เพิ่มในส่วนของวงเงินคุ้มครองสูงสุดกรณีที่มีการเสียชีวิตจากเดิม 300,000 เพิ่มขึ้นเป็น 500,000 บาท
  • เพิ่มความคุ้มครองสูงสุดกรณีทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือสูญเสียอวัยวะ จากเดิม สูงสุด 300,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็นสูงสุด 500,000 บาท
  • กรณีผู้ประสบเหตุหากต้องมีการใช้กะโหลกศีรษะเทียม ทาง พ.ร.บ. ก็จะให้ความคุ้มครองวงเงินสูงสุด 250,000 บาท

หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่าความคุ้มครองที่เพิ่มขึ้นมาแบบนี้ จำนวนอัตราเบี้ยประกันภัยที่จะต้องจ่ายนั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งทางกรมการประกันภัยนั้น ไม่มีการปรับเพิ่มค่าเบี้ยประกันแต่อย่างได้ ซึ่งทางกรมการประกันภัยนั้นได้เล็งเห็นในส่วนของสวัสดิภาพ ความคุ้มครองต่างๆของผู้ประสบภัยนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก จึงได้มีการพิจารณาเพิ่มความคุ้มครองในส่วนต่างๆมากขึ้น เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับการเยียวยาให้มีความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งถือได้ว่าเป็นมาตรการที่ดีมากๆสำหรับทุกๆคน